ปุถุชนทั่วไป ย่อมเศร้าหมองด้วยเครื่องเศร้าหมอง ย่อมเดือดร้อนด้วยเครื่องเดือดร้อน อาลัยอาวรณ์ด้วยเครื่องอาลัยอาวรณ์
มีน้อยคนนักเหลือเกินที่จะยอมรับอะไรง่ายๆ ส่วนใหญ่จึงมักจะยอมจำนนด้วยเครื่องจำนน มักกลัวจึงรับ กลัวว่าเขาจะว่าบ้าง กลัวเขาจะไม่รักบ้าง เพราะเขาเป็นเจ้านาย หรือเป็นคนที่เรารักและเคารพ
บางทีกลัวว่าเขาจะมามีบุญคุณต่อเราบ้าง กลัวว่าเค้าจะมาหวังประโยชน์ต่อเรา หรือจะต้องไปตอบแทนเขาบ้าง จึงปฏิเสธ เมื่อเขายื่นของมาให้เรา
โดยสรุปก็คือ รับของจากคนอื่นก็เพราะอยากได้หรือต้องการหรือไม่ยอมจำนนเมื่อเขาต้องคะยั้นคะยอให้เรารับตั้งหลายครั้งเราจึงรับ ดังนั้น เราจึงรับเพราะกลัว หรือยอมจำนนไม่รับก็เพราะกลัวเหมือนกัน
ขณะใดที่เขายื่นของให้เรา ขณะนั้นเขามีทั้งความเมตตาและกรุณา กำลังมีกุศลจิตอยู่ ความเมตตาคือ ความไม่โกรธมีความปรารถนาดี กรุณา คือ มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่จะให้(ทาน) ถ้าไม่มีผู้รับ กรุณาก็ไม่ครบวงจร ทานนั้นก็ไม่มีผล และเกิดความไม่พอใจขึ้นอีก เมตตา ( อโทสะ ) ก็หมดไป เราจึงเป็นเหตุทำให้เมตตากรุณาของเขาต้องหมดไปและขณะนั้นเราก็ขาดเมตตาด้วย
แต่ถ้าเราเข้าใจแล้วว่าเราจำเป็นต้อง รับเพื่อเขา เพื่อให้ความเมตตาและกรุณาของเขา อันเป็นกุศลเกิดขึ้นสมบูรณ์ขึ้นครบวงจร จิตของเราขณะนั้นก็มีความเมตตา คือความไม่โกรธและปรารถนาดีต่อเขาด้วย เป็นการได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ให้และผู้รับ
ถ้าเราลองเอาของไปให้ใครสักสองคนแล้วเขาไม่รับของของเรา เราคงนอนไม่หลับเหมือนกัน เราไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกของเขาหรือของเราเป็นอย่างไร เราจึง รับไม่เป็น และก็ ให้ไม่เป็น เราคิดไม่เป็นอยู่เสมอ
แท้จริงแล้ว ตามหลักการเขาเป็นผู้ให้ย่อมได้แล้ว ได้เพราะเขาให้สิ่งของกับเรา เขาทำดีแล้ว เรารับเขา ก็เท่ากับเราเมตตาเขา ให้ได้รับผลแห่งความกรุณา ( ทาน ) ทีให้มา เขาจะหวังผลอะไรจากเราก็ไม่เห็นผิดอะไร มันคนละเรื่องกัน แต่ถ้าเราเห็นสิ่งนั้นมีค่ามากเกินกว่าที่จะรับ ก็ส่งคืนเขาไปหรือให้กลับคืนไปกับคนที่เขารักก็ได้ เรากลับได้ทำบุญถึงสองครั้งเป็นกุศลที่หาได้ยาก เราจึงต้องควรทำความรู้สึกไว้ในใจเสมอว่า เราต้องรับ เพื่อเขา จะให้ ก็ เพื่อเขา จะทำให้กุศลจิตของเรามีกำลังด้วยความ เมตตาและกรุณาสูงขึ้น
การยอมรับฟังเขาพูด ปิดปากเมื่อเขาเปิดปากอยู่ ยอมรับว่าเขาไม่ต้องเข้าใจเราก็ได้ แม้เราจะชอบเขาสักเพียงใดก็ตาม เขาก็เป็นเขาอยู่อย่างนั้น เราก็เป็นเรา ขอเพียงเราอย่าโกรธเราอย่าขาดกรุณา ก็พอแล้ว ถ้าเราไม่ทำใจให้ยอมรับในสิ่งที่ควรจะยอมรับอยู่เสมอ ๆ แล้ว เราก็ต้องยอมจำนนอยู่เสมอเช่นเดียวกัน ดังนั้น คคุรค่่าของการยอมรับคือขณะนั้น ๆ เรามีความเมตตา (อโทสะ) อยู่ในจิตใจที่ดีงามมีความแช่มชื่นผ่องใส แต่่ถ้า ต้องยอมจำนน จิตนั้นจะเศร้าหมองเดือดร้อนวิตกกังวลติดตามมาอยู่เสมอ การหัดพิจาณาฝึกฝนดูสภาวะจิต คือความรู้สึกของเราขณะรับอารมณ์ใด ๆ ก็ตามจะทำให้เรามีสติและปัญญาอันเป็นตัวรู้ กั้นไม่ให้อกุศลจิต คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้นได้
จงพิจารณาและใคร่ครวญดูให้ดีว่า การยอมรับหรือยอมจำนนอะไรจะดีกว่ากัน และการรับให้เป็น และให้ให้เป็นด้วยความฉลาด
“ ผู้ให้ย่อมได้ ผู้อยากได้ย่อมสูญเสีย
การให้อะไรกับบุคคลอื่น หรือสัตว์อื่น
มิใช่เป็นการสูญเสียอะไรเลย
แท้จริงนั้น ย่อมเป็นการให้แก่ตัวเอง “
ที่มา สารมูลนิธิปริญญาธรรม ฉบับวันที่ ๓ เดือนกันยายน ๒๕๓๗ – พฤษภาคม ๒๕๓๘
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น