Ads 468x60px

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บุญและกรรมกับคณภาพของเสียง

ผ่านไปอ่านเจอบทความของดังตฤณ ดังตฤณวิสัชนา  เจอบทความนี้แล้วต้องอ่านทวนอีกรอบ  ไม่ใช่ว่าอยากจะเสียงดีขนาดเป็นนักร้องได้หรอกนะ  แต่่ว่าเห็นแล้วอยากเก็บมาแชร์ค่ะ   คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนทุก ๆ ท่านเป็นแน่

ถามว่า บุญที่ทำให้เสียงดีมีอะไรบ้างคะ?

มีวจีสุจริตเป็นสำคัญครับ วจีสุจริตคือเจตนาเลือกคำที่เป็นประโยชน์ไม่เป็นโทษต่อผู้อื่น หรือเจตนาบริสุทธิ์ที่จะทำให้ผู้ฟังสบายใจ แยกเป็นประเภทได้ ๔ คือ
๑) เว้นจากการพูดเท็จ เลือกกล่าวแต่คำที่เป็นจริง ตรงจริง ผลที่เห็นได้ทั้งปัจจุบันและอนาคตคือความหนักแน่นของน้ำเสียง เพราะการเลือกที่จะพูดความจริงในสถานการณ์ที่น่าโกหกเอาตัวรอดนั้น ถือเป็นการ ‘เข้าข้าง’ สัจจะความจริง พลังแห่งสัจจะความจริงย่อมย้อนมาเข้าถึงตัว เข้าถึงใจ และเข้าถึงน้ำเสียง หากเป็นผู้เว้นจากการพูดเท็จได้ตลอดชีวิต ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งมั่นในการไม่โกหก เงากรรมจะตามตัวไปปรุงแต่งแก้วเสียงให้หนักแน่นในชาติถัดไปด้วย
๒) เว้นจากการพูดส่อเสียด เลือกกล่าวแต่คำที่ทำให้ผู้ฟังสบายใจ คำที่ทำให้คนมองกันในทางดี คำที่ทำให้หมู่คณะเกิดความสมัครสมานสามัคคี ผลที่เห็นได้ทั้งปัจจุบันและอนาคตคือความนุ่มนวลของน้ำเสียง เพราะการเลือกที่จะพูดออมชอมเพื่อความปรองดองขณะอยู่ในสถานการณ์น่าพูดทิ่ม แทงให้เกิดความแตกร้าวนั้น จิตจะปรุงแต่งไปในทางราบรื่นเหมือนคนปรุงอาหารให้รสกลมกล่อม หากเป็นผู้เว้นขาดจากการพูดส่อเสียดได้ตลอดชีวิต ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งมั่นในการไม่นินทาว่าร้าย ไม่เป็นผู้ก่อความเจ็บใจด้วยคำพูด เงากรรมจะตามตัวไปปรุงแต่งแก้วเสียงให้นุ่มนวลในชาติถัดไปด้วย
๓) เว้นจากการพูดหยาบ เลือกกล่าวแต่คำที่สุภาพ ด้วยเจตนาจะทำให้ผู้ฟังรื่นหู ผลที่เห็นได้ทั้งปัจจุบันและอนาคตคือความไพเราะของน้ำเสียง ยิ่งถ้าหากผูกประโยคให้ฟังสละสลวย รู้จักคำมาก ฉลาดเลือกคำให้ฟังดี ไพเราะแบบไม่ขาดไม่เกิน ก็จะยิ่งปรุงแต่งให้แก้วเสียงเพราะพริ้งยิ่งๆขึ้น หากเป็นผู้เว้นขาดจากการพูดหยาบคายได้ตลอดชีวิต ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งมั่นในการเป็นคนสุภาพ ไม่เป็นผู้ก่อความระคายโสตด้วยวาจาอัปมงคล เงากรรมจะตามตัวไปปรุงแต่งให้กังวานเสียงสดใสในชาติถัดไปด้วย
๔) เว้นจากการพูดพล่ามเพ้อเจ้อ เลือกกล่าวแต่คำที่ก่อให้เกิดสติ เมื่อคุณพูดอย่างมีสติ กระแสสติของคุณย่อมช่วยให้ผู้ฟังพลอยเกิดสติตามไปด้วย ยิ่งถ้าเป็นไปด้วยเจตนาให้สติแก่คนอื่นอยู่เนืองๆ ผลอันเป็นสติก็ย่อมตกแก่คุณอย่างแจ่มชัด ความมีสติจะปรุงแต่งเสียงให้คมชัด กล่าวถ้อยคำต่างๆได้ชัดเจนแม้จะเป็นภาษาที่ยากแก่การออกเสียง หากเป็นผู้เว้นขาดจากการพูดพล่ามเพ้อเจ้อได้ตลอดชีวิต ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งมั่นในการเป็นคนมีสติในการเจรจา ไม่เป็นผู้ก่อความฟุ้งซ่านให้ตนเองและใครๆด้วยวาจาเลื่อนลอยหาสาระมิได้ เงากรรมจะตามตัวไปปรุงแต่งแก้วเสียงให้คมชัด เป็นกังวานทรงพลังและมีความน่าเชื่อถือยิ่งในชาติถัดไปด้วย
นอกจากวจีสุจริตข้างต้นแล้ว ยังมีกรรมทางวาจาอื่นๆที่เป็นปัจจัยแก่คุณภาพเสียง เช่น
๑) ป่าวร้องชวนคนไปฟังธรรม สมัยก่อนเมื่อถึงเวลาพระพุทธเจ้าแสดงธรรม จะมีธรรมเนียมซึ่งกลุ่มคนประเภทหนึ่งชอบทำกัน นั่นคือร้องเรียกคนในบ้าน หรือร้องเรียกญาติมิตรในบ้านใกล้เรือนเคียง ทำนอง ‘เจ้าข้าเอ๊ย! พระพุทธเจ้าจะแสดงธรรมแล้ว พวกเราไปฟังกันเพื่อประโยชน์ในชาตินี้และชาติหน้ากันเถอะ’ การชักชวนด้วยวาจาด้วยเสียงคะยั้นคะยออันเจือด้วยความปรารถนาดีทำนองนี้ จะทำให้เป็นผู้มีแก้วเสียงที่ดังได้ตามปรารถนา คืออยากพูดให้ค่อยก็ได้ อยากพูดให้ดังไปทั้งคุ้งน้ำก็ได้
คนพวกนี้พอเกิดใหม่มักมีเสียงเป็นเสน่ห์ดึงดูดความสนใจได้เฉียบพลัน เรียกชื่อใครคนนั้นสะท้านไหวได้ถึงจิตถึงใจ ถ้าอยากจับความสนใจของคนหมู่มากก็แค่กำหนดเปล่งเสียงให้กว้างไกล หรืออยากคุมทิศทางผู้คนหมู่มากก็แค่ส่งพลังเสียงสะกดหน่อยเดียว พวกนี้จึงง่ายต่อการเป็นผู้มีอัตตาสูงด้วยการใช้เสียง ภูมิใจในเสียง หรืออาจถึงขั้นเชื่อมั่นในตนเองเกินเหตุ และมักอยากให้ผู้คนในวงกว้างได้ยินเสียงอันทรงพลังเปี่ยมประกาศิตของตน
๒) รักษาสัจจะยิ่งชีพ ปากกับใจตรงกัน พูดคำไหนเป็นคำนั้น ประกาศคำใดแล้วไม่ถอนคำเด็ดขาด จะเป็นเหตุให้มีเสียงประกาศิต กับทั้งเกิดญาณหยั่งรู้ว่าคำใดกล่าวได้ คำใดกล่าวไม่ได้ เรื่องใดจะเกิดบางทีพูดออกมาได้เองตามความเหมาะสม จึงเหมือนเป็นผู้ที่พูดแช่งหรืออวยพรใครแล้วปรากฏผลตามนั้นเสมอ
นอกจากนั้นพวกที่รักษาสัตย์จนเกิดพลังภายใน บางทีก็มีจริงนะครับที่สามารถใช้วาจาเป็นอาวุธได้ คล้ายนักกล้ามที่ฝึกยกน้ำหนักจนกล้ามเนื้อโตผิดผู้ผิดคน ย่อมยกของที่คนทั่วไปยกไม่ไหว หรือออกแรงทำอะไรที่ไม่มีใครเชื่อว่ามนุษย์ทำได้ พอโกรธใครแล้วฟาดคำแช่งเปรี้ยงไปที่ใคร คนนั้นอาจเคราะห์ร้ายตามคำแช่งหรือใกล้เคียงคำแช่งได้ ขึ้นอยู่กับว่าคนถูกแช่งมีบุญคุ้มอยู่แค่ไหน หากบุญน้อยกว่าก็แย่หน่อย เหมือนนักเรียนประถมถูกรุ่นพี่มัธยมตบเบาะๆก็คว่ำคะมำ หากบุญเสมอกันก็อาจไม่เกิดอะไรขึ้น เหมือนคนแรงเท่ากันงัดข้อก็กินกันลงยาก แต่หากบุญมากกว่า คนแช่งนั่นแหละจะซวยเป็นทวีคูณ เหมือนนักมวยผอมแห้งแรงน้อยหาญกล้าไปชกกับนักมวยปล้ำร่างยักษ์
อย่างไรก็ต้องเข้าใจอย่างถูกต้องด้วยนะครับ ผู้แช่งย่อมได้ชื่อว่ากล่าววาจาอันประกอบด้วยโทสะ ผลของการมีโทสะรุนแรงเป็นอย่างไร ผู้แช่งย่อมได้รับผลเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นความเร่าร้อนภายในหรือความเดือดร้อนที่ภายนอก และยิ่งจะเผ็ดร้อนรุนแรงกว่าคนทั่วไปที่ปราศจากวาจาสิทธิ์เป็นสิบเป็นร้อย เท่า ส่วนผู้อวยพรย่อมได้ชื่อว่ากล่าววาจาอันประกอบด้วยเมตตา ผลย่อมเป็นตรงข้ามคือเย็นทั้งนอกทั้งใน ไม่รู้จักความเดือดเนื้อร้อนใจได้ง่ายนัก
๓) สอนด้วยเสียง เมื่อมีความรู้ มีความเข้าใจใดๆ แล้วเกิดความปรารถนาดี ใคร่อยากให้ผู้อื่นรู้ตาม แล้วถ่ายทอดให้ผู้อื่นโดยไม่หวงแหน ฉลาดเลือกคำผูกประโยคให้ฟังง่าย เข้าใจเร็ว จะมีผลให้น้ำเสียงฟังขลัง ฟังศักดิ์สิทธิ์
ระหว่างสอนทางโลกกับสอนทางธรรม สอนทางธรรมจะปรุงแต่งน้ำเสียงให้ฟังขลังกว่า มีความศักดิ์สิทธิ์มากกว่า แต่จะเห็นชัดในชาติถัดไป นับจากเมื่อรู้ความและพูดเป็น คำพูดจะฟังน่าทึ่ง ชวนให้ผู้ใหญ่ฉงน เมื่อเติบใหญ่ขึ้นจะมีคุณลักษณ์เกี่ยวกับเสียงดีพร้อมทุกแง่ทุกมุม เป็นใหญ่เหนือวิบากที่มาจากวจีสุจริตทุกชนิด
เนื่องจากเสียงเป็นรูปธรรมชนิดหนึ่ง เพราะมีต้นแหล่งเช่นปากคอเป็นรูปธรรม ฉะนั้นนอกจากเรื่องของกรรมวิบากแล้ว ยังมีเรื่องของรูปธรรมด้วยกันเป็นเหตุปัจจัยสนับสนุนหรือส่งเสริมคุณภาพได้ เช่นดื่มน้ำอุ่น น้ำมะนาว น้ำมะขามป้อม และผลไม้รสเปรี้ยวทั้งหลาย
อ้อ! การฝึกพูดธรรมดาๆ ถ้าหากก่อให้เกิดสติ รู้จักจังหวะจะโคน ฝึกกระดกลิ้นออกเสียงควบกล้ำชัดๆ ตัวสติและความถูกต้องในการออกเสียงก็มีส่วนปรุงเสียงให้น่าฟังขึ้นได้เหมือน กันนะครับ แม้สติไม่อาจปรุงแต่งแก้วเสียงให้ใสกิ๊กได้เท่าวิบากทางวจีสุจริต แต่อย่างน้อยก็ทำให้ดีขึ้นแบบทันตาเห็นได้แล้ว

 

ถาม – กรรมอะไรที่ทำให้ผมเป็นคนที่มีเสียงไม่เพราะ เสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ พูดจาไม่ชัด ทำให้สื่อสารกับคนไม่ค่อยรู้เรื่อง ฟังแล้วไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ ทั้งๆที่มีข้อมูลและความรู้ในเรื่องที่จะพูด และมีวิธีอะไรที่จะทำให้เสียงเราดีขึ้นบ้างครับ?
ทั้งรูปปาก ลิ้น และแก้วเสียง อันเป็นส่วนประกอบของการเปล่งวาจานั้น เป็นวิบากที่เกิดจากวจีกรรมทั้งหมดทั้งสิ้นแหละครับ ยิ่งหากโดยรวมแล้วคุณมีปัจจัยที่ทำให้เสียงไม่เพราะ พูดไม่ชัด ก็สันนิษฐานได้โดยไม่ต้องใช้ญาณใดๆเลย คุณเคยเป็นผู้เคยประกอบวจีทุจริตไว้มากแน่นอน นี่ว่ากันตามเนื้อผ้านะครับ อย่าไปเสียใจกับตัวตนที่ลืมไปแล้วในอดีตชาติเลย มาดูและแจกแจงกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องกันดีกว่า
วจีทุจริตมีอยู่ ๔ จำพวกใหญ่ๆ ซึ่งก็เป็นตรงข้ามกับวจีสุจริตที่ผมตอบคำถามข้างบนไป หากประกอบวจีทุจริตเป็นประจำ ภายในไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปีจะเริ่มสำแดงผลในชาติปัจจุบัน และถ้าทำไปจนตาย ก็จะให้ผลชัดเจนในชาติถัดมา (ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์หรืออะไรอื่น) แจกแจงวิบากได้ดังนี้
๑) มักพูดเท็จ พระพุทธเจ้าตรัสว่าวิบากอย่างเบาคือเป็นผู้ถูกกล่าวตู่ ถูกใส่ไคล้ อันนี้อธิบายได้ว่าพลังสัจจะหรือพลังแห่งความจริงนั้นมีความยิ่งใหญ่ ถ้าคิดทำให้ความจริงบิดเบี้ยวด้วยคำพูด ความบิดเบี้ยวนั้นก็จะย้อนกลับมาลงโทษในหลากหลายรูปแบบ นับเริ่มจากการโดนใส่ไคล้ให้ชีวิตเกิดความบิดเบี้ยว
เมื่อกล่าวถึงวิบากเกี่ยวกับเสียง แม้เคยเสียงดีๆก็ต้องมีอันให้คุณภาพบิดเบี้ยวหรือด้อยลงจากของจริงเดิมๆ ขอแจกแจงเป็นรายละเอียดดังนี้
หากโกหกแบบไม่เต็มใจและยังมีความละอาย ผลในปัจจุบันคือจะเป็นคนพูดจาขาดน้ำหนัก ฟังไม่ค่อยน่าเลื่อมใส เหมือนขาดความมั่นใจ เช่นพนักงานขายบางคนที่ต้องฝืนโกหกเป็นประจำ ทั้งที่พื้นเดิมไม่ใช่พวกชอบบิดเบือนความจริง
หากปั้นน้ำเป็นตัวได้หน้าตาเฉย ผลคือเสียงจะฟังเข้มหรือห้วนผิดปกติ พูดจริงคนก็นึกว่าหลอก พูดด้วยความตั้งใจดีคนก็เข้าใจผิดนึกว่าคิดร้าย ไม่ได้ฝืนใจก็เหมือนฝืนใจ อยากพูดปลอบคนเขาก็กลับนึกว่าแกล้งเยาะเย้ย อยากพูดให้เขาดีกันคนก็นึกว่าเสแสร้งแกล้งยุแยงตะแคงรั่วแบบแยบยลเหนือเมฆ ฯลฯ พวกโป้ปดมดเท็จได้หน้าตาเฉยนี้ได้ชื่อว่าทำกรรมหนักแน่นเป็นอาจิณถึงขั้น ปั้นหน้าในชาติต่อไปให้ดูโกงๆได้แล้วด้วย ถ้าเป็นดาราก็โดนเขาคัดตัวให้เป็นวายร้ายอย่างแน่นอน
๒) มักพูดส่อเสียด พระพุทธเจ้าตรัสว่าวิบากอย่างเบาคือมักแตกคอกับเพื่อน เมื่อกล่าวถึงวิบากเกี่ยวกับเสียง ก็จำแนกเป็นรายละเอียดได้ดังนี้
หากเห็นการนินทาลับหลังเป็นของสนุก ก็จะทำให้น้ำเสียงฟังขาดเมตตาลงเรื่อยๆ ฟังแล้วไม่น่าชื่นใจ แม้เดิมมีคุณภาพเสียงสดใสชวนรื่นหูก็ตาม บางคนพูดด่าคนอื่นทุกวันจนน้ำเสียงที่เคยขลังขาดความขลังไปได้อย่างน่า เสียดาย
หากคนเขาอยู่ดีๆก็ไปยุแยงตะแคงรั่วให้เขาบาดหมางกัน หรือชอบใช้คำพูดเป็นชนวนความแตกร้าวของหมู่คณะ จะทำให้เสียงฟังกร้าว แม้ภายนอกดูดีก็เหมือนแฝงความเหี้ยมโหดไม่น่าปลอดภัยให้รู้สึกได้
หากชมชอบการทิ่มแทงคนฟังขณะกำลังโกรธ จะทำให้เสียงดุร้ายเหมือนหาเรื่อง แม้พยายามพูดดีๆ คนก็รู้สึกเหมือนจะตั้งท่าเป็นศัตรู ถ้าทิ่มแทงคนดีมีศีลสัตย์ให้ช้ำใจหรือเสียหายเป็นประจำ ก็มีผลกับรูปปาก อาจบิดเบี้ยวน่าเกลียด ขยับปากพูดลำบาก แม้รูปปากดีเสียงก็อาจฟังไม่ชัด บางคนเห็นผลหนักชนิดนี้ได้ในชาติปัจจุบันทีเดียว ทางแพทย์อาจอธิบายสาเหตุเป็นต่างๆนานา แต่เจ้าตัวอาจสำนึกรู้สึกทีเดียวว่าตนพูดจาให้ร้ายแก่ผู้ทรงคุณเข้า
๓) มักพูดหยาบคาย พระพุทธเจ้าตรัสว่าวิบากอย่างเบาคือสุ้มเสียงไม่น่าฟัง เสียงไม่น่าฟังก็อย่างเช่นที่เราคุ้นๆกัน คือกร้าวกระด้าง แหบแห้ง หรืออย่างน้อยที่สุดแม้ไม่เหมือนแย่ตรงไหน ก็แย่ตรงที่ฟังแล้วรู้สึกแย่นั่นเอง
หากพูดหยาบด้วยความเคยชิน ไม่ได้คิดประทุษร้าย จะทำให้หางเสียงเหมือนออกไปทางกร้าวทั้งที่อาจไม่ใช่คนก้าวร้าว
หากพูดหยาบด้วยจิตคิดประทุษร้าย จะทำให้เสียงแข็งกระด้างไม่น่าฟัง แม้พยายามพูดให้อ่อนหวานก็ฟังรำคาญหู
๔) มักพูดเพ้อเจ้อ พระพุทธเจ้าตรัสว่าวิบากอย่างเบาคือทำให้เป็นคนพูดจาไม่น่าเชื่อถือ คุณคงเคยมีประสบการณ์มาบ้าง เห็นคนบางคนพูดแล้วทุกคนในที่นั้นอยากเบือนหน้าหนีโดยไม่นัดหมาย บางคนนี่เข้าขั้นหนักขนาดพูดทุกทีคนหันหน้าหนีทุกที ลองดูเถอะว่าคนๆนั้นชอบพูดจาไร้สติ นึกอยากพูดอะไรก็สักแต่พูดไหม นี่เป็นวิบากซึ่งไม่จำเป็นต้องรอดูชาติหน้ากันเลย
หากพูดเพ้อเจ้อด้วยความคะนองแต่ยังพอมีสติอยู่บ้าง ผลคือทำให้เสียงเหมือนหลอกๆ ฟังแล้วขาดๆเกินๆ เชื่อได้บ้าง เชื่อไม่ได้บ้าง
หากพูดแบบไหลไปเรื่อย คือเรื่อยเปื่อยจนฟุ้งซ่านจัด จะทำให้สุ้มเสียงเหมือนคนสับสน พร้อมพูดจาวกวน คนฟังได้ยินแล้วพลอยฟุ้งซ่านตาม จึงไม่มีใครอยากทนฟังให้จบ
ขอให้เข้าใจว่าพูดเพ้อเจ้อนั้นเฉียดๆกัน แต่ไม่เชิงว่าหมายถึงการพูดเล่นพูดหัวระหว่างคนกันเองเพื่อหัวเราะเอาสนุก การพูดเล่นที่ประกอบไปด้วยสติ รู้จักกาลเทศะ ไม่หยาบโลนดึงใจลงต่ำ เป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่เป็นพิษภัย และไม่ต้องรับผลแบบคนพูดพล่ามเพ้อเจ้อเป็นนิสัย
เพื่อจะปรับปรุงเรื่องเสียงและน้ำหนักความน่าเชื่อถือ ทางที่ดีที่สุดคือต้องตั้งใจมั่นว่าจะมีแต่วจีสุจริต งดเว้นวจีทุจริตให้หมด กับทั้งต้องรักษาความตั้งใจด้วยความหนักแน่นต่อเนื่องยาวนานพอสมควร
ทางลัดหนึ่งซึ่งคนที่ลองจะประจักษ์ผลได้ในเวลาไม่กี่วัน คือฝึกสติระลึกรู้การเปล่งเสียงสวดมนต์ให้ชัดๆ บทอิติปิโสฯก็มีรูปคำที่เปล่งเสียงแล้วช่วยเกื้อกูลได้มาก ยิ่งถ้าหากคุณศรัทธาพระพุทธเจ้าหนักแน่นอยู่เป็นทุน ก็จะพบความจริงคือเสียงที่มากับศรัทธาเป็นเสียงที่ฟังเพราะเสมอ หากสวดอิติปิโสฯด้วยใจศรัทธา มีสติอยู่กับทุกถ้อยคำ เพียงเดือนหรือสองเดือนจะพบว่าคุณภาพเสียงดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น