1. คิดถึงเรื่องดีๆ ที่เรามีอยู่ ที่ฝรั่งเรียกว่า count your blessings เช่น เรามีแขนขาครบถ้วน ตาดี ไม่พิการ ฯลฯ เราดีกว่าคนอื่นอีกหลายคน ไม่ควรจะมานั่งซึมเศร้า และให้หัดเขียนบันทึกประจำวันถึงเรื่องที่เรารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ อยากจะขอบคุณเพื่อนหรือคนที่มีพระคุณต่อเราสัก 4-5 เรื่อง สัปดาห์ละครั้ง
2. แสดงความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ เช่น ช่วยคนชราข้ามถนน ช่วยซื้อพวงมาลัยจากเด็กตามถนน ให้ทิปแก่เด็กเสิร์ฟ เด็กปั๊ม บริจาคเงินช่วยเหยื่อสึนามิ การแสดงความเมตตากรุณาต่อคนอื่นทำให้มีผลบวกทางใจทำให้เราสบายใจได้ฉับพลันที่นั่นและเดี๋ยวนั้น
3. ชื่นชมความดีงามของชีวิตของธรรมชาติรอบตัว เช่น ให้เวลาเล็กๆ น้อยๆ ชื่นชมกับความงามความหอมของดอกไม้ นกปลา
4. แสดงความขอบคุณต่อคนที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ คนที่สอนเรา หรือเป็นกัลยาณมิตรต่อเรา
5. รู้จักให้อภัย เช่น เขียนจดหมายไปให้อภัยศัตรูคู่อาฆาตที่เคยทำให้เราเจ็บปวด เขาว่าทำอย่างนี้ได้ จะทำให้เราหมดเรื่องที่จะมาหลอกหลอนให้หลงครุ่นคิดหมกมุ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปตลอดชีวิต
6. ให้เวลาให้ความสำคัญต่อเพื่อน ครอบครัว หรือญาติ ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะความสัมพันธ์ที่ดีกับมนุษย์คนอื่นทำให้เกิดความพึงพอใจต่อเรามากในลำดับต้นๆ อย่างหนึ่ง
7. ให้เวลาดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี นอนให้พอ ออกกำลังกายเป็นประจำ หาเรื่องทำให้ยิ้มหัวที่ทำให้อารมณ์ดี เช่น อ่านโจ๊ก ดูหนังตลก เขาพบว่าทำอย่างนี้จะทำให้เราเกิดความพึงพอใจในชีวิตความเป็นอยู่ได้ดีขึ้นอีกอย่าง
8. หัดคิดหัดมองโลกให้เป็น คนเราต้องมีปัญหาส่วนตัวด้วยกันทุกคนไม่มากก็น้อย หัดคิดในทางบวก มีแผนวิธีการแก้ไขปัญหาส่วนตัวพร้อมใช้อยู่ในหัว หรืออาจจะต้องใช้ธรรมะเข้าข่มบ้างในบางครั้งบางคราว อาจจะใช้คำพูดปลุกใจเช่น “เรื่องนี้อย่างมากก็เสียเงิน” “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย” ... “อกหักดีกว่ารักไม่เป็น” เป็นต้น
ที่ว่ามานี้เป็นเรื่องของความสุขในแง่ของนักจิตวิทยาซึ่งคิดแบบวิทยาศาสตร์ คิดแบบคนตะวันตก คิดแบบปุถุชนคนเดินดินกินแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งพอจะเอามาประยุกต์ใช้กับชีวิตคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเราได้มาก โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยเข้าวัดเข้าวา ไม่เคยฟังธรรม ไม่เคยปฏิบัติธรรมให้รู้ซึ้งถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กับเขาเลย
เครดิต : http://www.mongkoltemple.com/page02/articles011.html